เทศน์เช้า วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเรา เห็นไหม เรากินข้าวกันหรือยัง เรายังไม่กินข้าวใช่ไหม เราต้องให้ผู้ทรงศีลก่อน เราถวายทานก่อน ถวายทานก่อนนะ แล้วเราก็ทานข้าวเราทีหลัง เห็นไหม ผู้มีศีลมีธรรม เราเป็นคนมีหลักของใจ ถ้าคนไม่มีหลักของใจ เห็นไหม ก็คนเหมือนกัน
คนเหมือนกัน เห็นไหม เวลาทำบุญกุศลนะ ถ้าเราทำบุญกุศล เราถวายบุญกุศล ได้บุญกุศลเพราะเรามีสูงมีต่ำ คนเรามีหลักของใจ เราก็เคารพพ่อเคารพแม่ของเรา ถ้าเราเคารพพ่อเคารพแม่ของเรา ครอบครัวเราก็มั่นคงนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า
ในครอบครัว ถ้ารู้จักการซ่อมแซม รู้จักบำรุงรักษาในครอบครัวนั้น ครอบครัวนั้นจะเจริญมาก แต่ถ้าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักบำรุงรักษา ครอบครัวนั้นจะไม่ยั่งยืน
ความเคารพในครอบครัวของเรา ความเคารพในวัฏฏะ เห็นไหม ถ้าเคารพในวัฏฏะ เทพ สิ่งต่างๆ นี่มันก็น่าเคารพนับถือ ถ้าเป็นเทพที่ดี ถ้าเป็นเทพที่ไม่ดีล่ะ สิ่งที่เคารพนับถือ เราเคารพนับถือเพื่ออะไร เพื่อหัวใจของเรานะ ดูสิ ดูเวลาคนที่เขาเป็นคนแข็งกระด้าง เขาจะไม่มีที่สูงที่ต่ำของเขาเลย เขาจะเป็นคนแข็งกระด้าง เขาจะเป็นคนต่อต้านสังคม เขาจะทำของเขาตามความเห็นของเขา เห็นไหม แต่ถ้าคนมีสูงมีต่ำ ผู้มีศีล เห็นไหม นี่ผู้มีศีลเฉยๆ นะ
เวลาเราทำคุณงามความดีกัน เวลาเราจะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมกัน เราปรารถนานะ ปรารถนา ถ้าเราเชื่อในเรื่องนรกสวรรค์ ถ้าคนไม่เชื่อนรกสวรรค์ ความไม่เชื่อมันเป็นความไม่เชื่อนะ แต่ความจริงเป็นความจริงอันหนึ่งเพราะอะไร เพราะที่เรามานั่งกันอยู่นี่มาจากอะไร?
เวลาเราเกิด เกิดจากครรภ์ของมารดา ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่าเราเกิดจากครรภ์ของมารดา แต่ในทางศาสนาบอกว่าปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิในไข่ของมารดา แล้วปฏิสนธิออกมาเป็นเด็กเกิดมาในครรภ์ของมารดา ปฏิสนธิของจิต เห็นไหม ที่เรามานั่งกันอยู่นี่ เรามานั่งอยู่นี่มาจากมีหัวใจของเรา หัวใจเราเกิดในครรภ์ของมารดา
การพิสูจน์ทางโลก เห็นไหม ดีเอ็นเอ ทุกอย่างต่างๆ กรรมพันธุ์เป็นของพ่อของแม่ แต่เรื่องของกรรมเป็นเรื่องของเด็กของคนนั้นนะ เด็กคนนั้น บุคคลคนนั้นสร้างกรรมของเขามา เขาจะเป็นกรรมดีกรรมชั่วของเขามา เด็กคนนั้นจะเป็นไปตามอำนาจกรรมของเขา โตขึ้นมาก็เป็นกรรมของเขา แล้วสร้างคุณงามความดีกัน เราไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ถ้าสร้างคุณงามความดี เห็นไหม
เวลาจิตตายไป เวลาจิตนี้ออกจากร่าง แล้วจิตนี้ไปไหน ร่างกายนี้เอาไปเผา เอาไปทำลายกัน เห็นไหม เพราะว่าคนตายแล้วเขาไม่ต้องการหรอก พ่อแม่รักขนาดไหนแต่เขาก็เอาไว้ไม่ได้เพราะกลัวผี แต่เขาว่ากลัวผีนะ
นี่มันเป็นธาตุ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่ผี ผีคือจิตดวงวิญญาณนี้ออกจากร่างไป ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เวลาองค์หลวงปู่มั่นแสดงธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ เขามาฟังธรรมพระภิกษุเรา ภิกษุเพราะอะไร?
เพราะพระภิกษุรู้เรื่องของนามธรรม รู้เรื่องของอริยสัจ รู้เรื่องของหัวใจไง ดูสิ ความรู้สึกของเรานี่ แล้วทั้งๆ ที่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณที่เข้าไปทำลายกิเลส ทำลายเชื้อไข เห็นไหม ถ้ามีแรงขับ จิตนี้ยังมีอวิชชาอยู่ ยังมีแรงขับ มีบุญกุศล มีบาปอกุศลแรงขับอยู่ มันก็จะไปตามอำนาจอย่างนั้น ไปตามอำนาจนะ
เทวดา อินทร์ พรหมเขาอยู่ข้างบนของเขา เขารู้สึกความคิดของมนุษย์ เขาเห็นความเป็นคนดี คนดีผีคุ้ม เห็นไหม เขาจะปกป้องรักษาคนที่เป็นคนดี เพราะคนดี คนดีความคิดดี ความคิดดีเป็นสิ่งที่หอมประเสริฐ เห็นไหม กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของธรรมหอมทวนลม กลิ่นของความดีไง แต่กลิ่นของบาปอกุศลนะ คิดชั่ว คิดทำลายเขา สิ่งนี้มันบาปอกุศล มันเผาลนตัวเราเองอยู่แล้วนะ เทวดา อินทร์ พรหมของเขานะ เรื่องของจิตวิญญาณมันจะเห็นเรื่องของจิตวิญญาณ เขาจะไม่เข้าไปใกล้สภาวะแบบนั้น
เขารู้ว่าจิตวิญญาณนี่มันเป็นผล เหมือนกับเราทำมาหากิน เห็นไหม เรามีเงินมีทอง เรามีสถานะขึ้นมา เราก็มีสถานะดีกว่าเขา คนที่ทำมาหากินเหมือนกัน แต่เขาไม่มีอำนาจวาสนา เขาก็อยู่ในสถานะของเขา มันต่างกันตรงนี้ไง ต่างกันตรงที่สถานะ สถานะ เห็นไหม แล้วเวลาเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขามีสถานะของเขา แต่เขาก็ไม่รู้เรื่องหัวใจของเขา
คนมีสถานะสูง สถานะต่ำขนาดไหน เขาก็มีความทุกข์ในหัวใจของเขา ความทุกข์มันเผาลนใจไปทุกๆ ดวงใจ คนเกิดมาทุกดวงใจมีแต่อวิชชาคือความไม่รู้ของเรามันเผาลน ไม่รู้นะ ไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ไม่รู้มาจากไหน ไม่รู้ปัจจุบันนี้ นี่มันเครียดไปหมดเลย เพราะมันไม่รู้สิ่งต่างๆ ในวัฏฏะนี้ เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นความทุกข์เผาลนอยู่
แต่เรื่องของอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งที่เผาลนนี้เป็นทุกข์ไหม สิ่งที่เผาลนในหัวใจนี่เป็นทุกข์ ทุกข์นี่เกิดจากอะไร เกิดจากตัณหาความทะยานอยาก ตัณหานะ ตัณหามีแต่ความทะยานอยากเหรอ ตัณหาความผลักก็มี ความผลักเห็นไหม วิภวตัณหา สิ่งที่มันจะเป็นจะไปตามธรรมชาติของมัน เรากีดขวางมัน เราไม่ยอมเป็นไป เช่น สิ่งที่เสื่อมสภาพไป
สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
นี้เป็นสัจจะความจริงของเขา แล้วเราผลัก เราไม่ต้องการให้เป็นสภาวะแบบนั้น เห็นไหม นี่วิภวตัณหา เราไม่ยอมให้เป็นไปตามสภาวะแบบนั้น มันก็เป็นทุกข์อันหนึ่ง ทุกข์อันนี้เกิดขึ้นมาจากหัวใจ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ เห็นไหม ละด้วยอะไร ละด้วยอริยมรรค เทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ ก็ไม่รู้เรื่องอย่างนี้ เรื่องอริยสัจไม่มีใครรู้ได้ มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีแต่ครูบาอาจารย์ที่สิ้นกิเลสแล้วรู้สภาวะสิ่งนี้
เทวดา อินทร์ พรหม เห็นไหม เวลาเขาต้องการบุญกุศลของเรา เวลาสร้างเจดีย์ สิ่งที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เห็นไหม เขาต้องให้สิ่งนี้มาเฝ้า มารักษา เขาเฝ้าสงวนรักษา เขาได้บุญกุศลของเขา เขาทำเพื่อบุญกุศลของเขา แต่เราเป็นชาวพุทธ เห็นไหม เรากล่าวว่าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเกิดจากอะไร? พระพุทธเกิดจากตรัสรู้ธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์เกิดจากอะไร? เกิดจากตรัสรู้ธรรม ธรรมคืออะไร? ธรรมคือสัจจะความจริง สัจจะความจริงนะ สัจจะความจริงเป็นสัจจะความจริง อริยสัจจะ
แต่ในปัจจุบันนี้เราไปสัญญา เราไปจำข้อมูล มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา แต่เราไม่เข้าถึงสัจจะความจริงของเรา เห็นไหม เราไปจำของเขามา เหมือนเราเดินผ่านทรัพย์สมบัติของคนอื่นไป เราเห็นของเขาหมดล่ะ แต่ไม่ใช่เป็นของเรา
นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเรามีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน เรามีโอกาสได้ทำให้สัจจะความจริงเกิดขึ้นมาจากในหัวใจของเรา แต่เราไม่คิดสภาวะแบบนั้น นี่ที่มันห่างไกลออกจากศาสนาห่างไกลอย่างนี้ไง ห่างไกลออกไป เอาผู้เฝ้าไง เห็นไหม
ดูสิ เวลาเราไปกราบตู้พระไตรปิฎก เห็นไหม ว่ากราบนี้กราบเป็นกราบธรรม เราไม่ได้เปิดตู้พระไตรปิฎก ไม่ได้เปิดหนังสืออ่านเลย ไม่ได้เปิดธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาศึกษาเลย แล้วศึกษาแล้วก็ศึกษาติดข้อมูลอีก ศึกษาเป็นแผนที่ดำเนินก็ติดในแผนที่ดำเนินอีก เราไม่ได้เข้าไปในพื้นที่จริง ในพื้นที่จริงคือหัวใจไง คือความรู้สึกอันนี้ไง
ความรู้สึกของเราในหัวใจมันมีความรู้สึกไหม ถ้ามีความรู้สึก มันมีความเศร้าหมองไหม มันมีความผ่องใสไหม มันมีความเป็นไปไหม ทำไมมันหมุนเวียนล่ะ ทำไมไม่มีคงที่ ทำไมไม่มีความสุขอยู่กับเราตลอดไป ทำไมความทุกข์ของเราเกิดขึ้นมา เกิดดับเกิดดับตลอดไป เห็นไหม มันเป็นอนิจจังตลอดไป มันเป็นสัจจะความจริงอยู่ตลอดไป สัจจะความจริงอย่างนี้มันไม่สามารถให้ยับยั้งได้
แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตตั้งมั่น เห็นไหม เงินของเรา เราเก็บรักษาไว้อย่างดี เราทำธุรกิจของเรา เงินมันจะพอกพูนขึ้นมา ใจก็เหมือนกัน ถ้าใจมันมีหลักเกณฑ์ของมัน มันมีความเคารพนับถือ นี่ธรรมเป็นใหญ่ เห็นไหม เราเคารพพ่อ เคารพแม่ เห็นไหม พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เราเคารพผู้มีศีล ผู้มีศีลถ้าเป็นศีลนะ
ศีลกับทุศีลมันอยู่ใกล้ๆ กัน ทุศีลมันมีแต่กิริยามารยาทจากภายนอก แต่หัวใจมันทุศีล เห็นไหม ทุศีลจากภายใน มันเป็นทุศีล สิ่งที่ทุศีลมันก็ไม่มีประโยชน์กับใจดวงนั้น อยู่ที่อำนาจวาสนา กรรมของใคร สายบุญสายกรรมของใคร การเชื่อการศรัทธาของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ความเห็นความชอบไม่เหมือนกัน จริตนิสัยไม่เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติไม่เหมือนกัน
สิ่งที่ไม่เหมือนกันแต่เป้าหมายเหมือนกัน เป้าหมายคือความสุขเหมือนกัน เป้าหมายคือต้องการให้จิตนี้พ้นออกไปจากกิเลสเหมือนกัน ถ้าจิตนี้พ้นออกไปจากกิเลส มันจะเป็นความสุขอย่างยิ่ง ความสุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี หรือจะแบกหามขนาดไหนนะ ดูสิ คนที่เขาเข้าใจสัจจะความจริง เขาจะแบกหามในร่างกายเขา แบกหามของไว้หนักขนาดไหน แต่หัวใจของเขาไม่ได้แบกหามเลย เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรามีร่างกายอยู่ หัวใจมันแบกหามนะ เพราะอะไร เพราะเราต้องหาสิ่งนี้มาจุนเจือมัน นี่เป็นเรื่องวัตถุนะ ศาสนวัตถุ สิ่งการก่อสร้างต่างๆ เป็นวัตถุ แต่เราสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นนกเป็นรวงเป็นรัง เห็นไหม นกมันยังมีรังมีอยู่ของมันเลย นี่เราสร้างปัจจัยเครื่องอาศัย แค่ปัจจัยเครื่องอาศัย ไม่ใช่ให้มันแบกรับเป็นความทุกข์ไง
ถ้าเราแบกรับเป็นความทุกข์นะ สร้างขึ้นมาต้องสถานะ ต้องสร้างขึ้นมา ต้องพอใจกับเรา สร้างขึ้นมาเพื่อเกียรติเพื่อศักดิ์ศรี เห็นไหม เพื่อเกียรติเพื่อศักดิ์ศรีมันกดถ่วงเราขนาดไหน นี่แบกไว้บนบ่าแล้วก็ทุกข์ แบกไว้บนบ่าแล้วไม่ทุกข์ เพราะอะไร เพราะว่ามันเข้าใจสัจจะความจริงของใจดวงนี้ เห็นไหม
ทุศีลกับผู้มีศีลมันต่างกัน ต่างกันที่ว่าทุศีลมันก็กิริยามารยาทไปอย่างนั้น แต่มันต้องแสวงหาเพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของมัน นี่เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดเลย
แต่เราทำเพื่อธรรม เห็นไหม ทำเพื่อธรรมเพราะมันจำเป็นต้องอาศัย สิ่งที่อาศัยเราก็รักษาอาศัยเขาไป เราไปอย่างนั้นชั่วกาลชั่วเวลา เพื่ออะไร เพื่อมาศึกษามาค้นคว้าไง ชีวิตถ้ายังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ยังมีชีวิตอยู่ เหมือนคนมีชีวิตอยู่มันจะเปิบอาหารได้ มันจะกินอะไรได้ มันยังมีโอกาสเจริญเติบโต มีการดำรงชีวิตอยู่ไปต่อไป
ชีวิตก็เหมือนกัน ถ้ามีชีวิตอยู่เพื่อการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เรารักษาชีวิตไว้ พยุงรักษาไว้เพื่ออะไร เพื่อค้นคว้าอันนี้ ค้นคว้าสิ่งที่ขับเคลื่อน แรงขับนี้ แรงขับกับจิตคนละตัวนะ ตัวจิตมันตัวพลังงานเฉยๆ ตัวแรงขับคือตัวบาปตัวบุญ มันตัวแรงขับตัวนี้ แล้วอาศัยบุญไปก่อน อาศัยแรงขับสิ่งที่ดีไปก่อน เพราะมันต้องอาศัยแรงขับไปทั้งคู่ แรงขับทางหนึ่งไปทางบวก แรงขับทางหนึ่งไปทางลบ แรงขับอันนี้ไปทางลบ ถ้าเรารักษาสิ่งนี้ขึ้นมา มันเป็นอำนาจวาสนาของคนที่ย้อนกลับมาตรงนี้ เพราะมันเห็นไง
แรงขับกับวัตถุต่างกัน แรงขับ เห็นไหม แรงขับพลังงานนี่ ในไฟฟ้านี่พลังงานอันหนึ่ง แต่พลังงานนี้มันต้องเข้าไปใช้กำเนิดมาเป็นแรงงานปฐม เข้าไปในแรงงานต่างๆ เข้าไปในเครื่องจักรกลไกขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา
จิตก็เหมือนกัน คิดดีคิดชั่ว เห็นไหม คิดๆ เข้าไป ขันธ์มันหมุนไปแล้ว สัญญาเกิดขึ้นแล้ว ความคิดเกิดขึ้นแล้ว ความคิดมาจากไหน? ความคิดมาจากพลังงาน แล้วพลังงานนี้มันมีอวิชชา มันไม่เข้าใจว่าพลังงานนี้เป็นพลังงานขับ ถ้ามันขับดีก็ดีไป ถ้าขับชั่วล่ะ ถ้าขับชั่ว..
นี่ถึงต้องมีธรรมะไง ต้องฝึกฝนมัน ต้องควบคุมใจของเราเอง ถ้าเราควบคุมใจเราเอง เราเป็นผู้ชนะเราเอง เห็นไหม นี่ความสงบเกิดจากตรงนี้ ความสงบเกิดจากข้างนอกเป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร เพราะข้างนอกจะนิ่มนวลขนาดไหน แต่ในหัวใจมันดิ้นรนอยู่ มันก็ดิ้นรนประสามัน
ถ้ามีศีล ความปกติของใจ ถ้ามีทาน เห็นไหม ทานนี่คือเครื่องดำเนิน ทานคือการชักนำมา ชักนำให้เราค้นคว้า ให้เราสนใจ เพราะมันเป็นนามธรรมนะ สิ่งที่เป็นวัตถุ เวลาเพชรนิลจินดาไปซ่อนตกหาย ยังหาไม่เจอเลย แต่ขณะที่ความรู้สึกนี่ไปหาที่ไหน นี่ความรู้สึกทุกข์สุข ความรู้สึกก็มีอยู่ เราก็รู้ว่ามีอยู่ แล้วหาที่ไหน หาไม่เจอเพราะอะไร?
เพราะไม่มีศีล ไม่มีขอบเขต ศีลคือขอบรั้วของมัน ความรู้สึกถ้าปกติมันก็มีนะ ถ้าไม่ปกติมันก็คิดออกไป คิดออกไปมันก็หายไปแล้ว พอคิดออกไปไกลขนาดไหน คิดเทียบเคียงไปถึงดวงจันทร์ มันก็ไปถึงดวงจันทร์แล้วไม่เจอมัน แต่ถ้ามีศีลมาขอบไว้ เห็นไหม มันกระทบที่ศีล เขตรั้วมี พอเขตรั้วมี ศีล สมาธิ เกิดค้นคว้าหามาเจอตัวเรา เจอแรงขับ
ถ้าเจอแรงขับ เจอตัวแก้ไขตัวแรงขับ ตัวแรงขับแก้ไขด้วยอะไร ด้วยมรรคญาณไง ถ้ามรรคญาณเกิดขึ้นเกิดอะไร? เกิดนิโรธ ความดับสนิทไง ความดับสนิทของกิเลส แต่นิโรธของเขา นิโรธทางโลก นิโรธนี่ฌานสมาบัติ นิโรธพลังงานนี้มันดับไม่ได้ นิโรธนี้นิโรธเพื่อขับเคลื่อนไป นิโรธเป็นโลกียปัญญา
นิโรธ โลกุตตรปัญญา นิโรธการดับ ดับพลังงานแรงขับไง ดับนิโรธแล้วเหลืออะไร ก็เหลือจิต เหลือความรู้สึก เหลือความเป็นไป เหลืออาการอันนั้น เห็นไหม ถ้าอาการนั้นมันเกิดขึ้นมาเป็นความสุขของเรา เห็นไหม สิ่งที่เกิดขึ้น ความสุขนี่มันเป็นของใจ เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องของธรรม แล้วเรื่องของเทพ เรื่องของวัฏฏะ มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ แล้วเรื่องของธรรมนี่มันอยู่ที่ไหน แล้วเราเคลื่อนกันออกไป เห็นไหม เคลื่อนจากสัจจะความจริง เคลื่อนจากอริยสัจออกไปอะไรกันก็ไม่รู้
นี่ศาสนาเสื่อมเสื่อมอย่างนี้ เสื่อมเพราะพวกเราไม่เข้าใจ เสื่อมเพราะเราไปเชื่อเขา เชื่อการตลาด แล้วเราก็เป็นเหยื่อ เป็นเหยื่อนะ สิ่งนี้ในเรื่องของการเคารพกราบไหว้ เรื่องของสิ่งเคารพบูชา มันเป็นรูปเคารพไง มันเป็นสมมุติอันหนึ่ง ดูสิ เราไปวัดไปกราบพระพุทธรูป เห็นไหม เรากราบถึงใคร เรากราบถึงคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากราบถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แต่เวลาคนไม่เข้าใจก็ไปกราบทองเหลือง ไปกราบอิฐ กราบหิน กราบปูน
แต่ถ้าเรากราบ ดูสิ เวลาเรากราบพ่อแม่ เราไปกราบถึงใคร เราคิดถึงพ่อแม่เรา เราคิดถึงคุณงามความดีของพ่อแม่เราใช่ไหม เราคิดถึงพ่อแม่เลี้ยงดูเรามาใช่ไหม เราไม่ได้ไปกราบอิฐ หิน ปูนที่เขาสร้างทำฮวงซุ้ยให้เราไปกราบกันหรอก
นี่ก็เหมือนกัน ศาสนามันเข้าไปอย่างนี้ เราเข้ากันไม่ถึง เข้ากันไม่ถึงแล้วเราก็จะเสื่อมออกไปๆ โลกเป็นอย่างนั้น ศาสนาเสื่อมเสื่อมอย่างนี้ เสื่อมเพราะเราเข้าไม่ถึงสัจจะความจริง ถ้าเราเข้าถึงสัจจะความจริงนะ สัจจะความจริงอยู่ที่ไหน ทุกอย่างเป็นวัตถุ ทุกอย่างไม่มีชีวิต ทุกอย่างอยู่ที่ความรู้สึก ทุกอย่างอยู่ที่กลางหัวใจ ทุกอย่างอยู่ที่การจับต้อง แล้วอันนี้พิสูจน์ได้กับใจของเรา เอวัง